SEO หรือ PCC กลยุทธ์ไหนที่ตอบโจทย์ธุรกิจของคุณ!
Call Us
02 612 9230-32, 080 064 8000
Member Login
Login
Forgot Password?  Register
 
Testimonial
" ออกมาเป็นที่พอใจมากคะได้สเป็คสีที่ระบุไว้เลยคะ แถมเจ้าหน้าที่ก็ใจดีคะ ทำให้ได้หมดทุกอย่างคะ บริการดีมาก กันเอง "
คุณเจ เจ้าของร้านเพชรทองเอราวัณเยาวราช
SEO หรือ PCC กลยุทธ์ไหนที่ตอบโจทย์ธุรกิจของคุณ!
1,998 View | 25 Jun 2014




 
     หากพูดถึงธุรกิจบนเว็บไซต์แล้วการเพิ่มยอดผู้เข้าชมมักเป็นเป้าหมายอันดับต้นๆ ที่ธุรกิจเหล่านี้คาดหวังเอาไว้ เพราะยิ่งมีจำนวนผู้เข้าชมมากก็ยิ่งเป็นการเพิ่มโอกาสที่จะขายสินค้าและบริการออกไปได้มากขึ้น และยังส่งผลให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักมากขึ้นไปอีกด้วย ทำให้ไม่แปลกที่บรรดานักการตลาดจะสรรหาวิธีที่จะตอบโจทย์การเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมให้มากขึ้นมากมายหลายวิธี ซึ่งวิธีที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันก็ได้แก่ PPC (Pay per Click) และ SEO (Search Engine Optimize)
 
     จากการสำรวจของเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับ PPC (Pay per Click) ชั้นนำแห่งหนึ่ง [http://www.ppchero.com/now-available-the-2013-state-of-paid-search/] พบว่าในช่วงปี 2014 นั้นมีแนวโน้มที่บรรดานักการตลาดออนไลน์หรือเจ้าของธุรกิจเว็บไซต์นั้นจะหันมาใช้บริการอย่าง PPC กันมากขึ้น แต่กลับให้ความสนใจการทำ SEO (Search Engine Optimize) น้อยลง โดยจากผลสำรวจในองค์กรต่างๆ พบว่ากว่า 72% ของธุรกิจนั้นวางแผนที่จะเพิ่มเงินทุนสำหรับการทำ PPC ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีผู้ให้ความสนใจ 70% ด้วยเหตุผลที่ว่า PPC นั้นเป็นวิธีที่ง่าย รวดเร็ว และเห็นผลในทันที ต่างกับ SEO ที่ต้องเสียเวลานานในการสร้างอันดับต้นๆ อีกทั้งทาง Search Engine ส่วนมากยังมีการเปลี่ยน Algorithm ของการ Search หาข้อมูลอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของ SEO ตามอยู่ตลอดเวลา ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะไม่เกิดกับ PPC แต่อย่างใด เพราะอันดับของเว็บไซต์นั้นจะคงเดิมตามซื้อเอาไว้เสมอจนกว่าจะหมดสัญญา แต่ในความเป็นจริง PPC จะมีประสิทธิภาพดีกว่า SEO จริงๆ หรือไม่ ทาง incquity จึงอยากแนะนำให้ลองมาทำความรู้จักกับทั้ง 2 วิธีนี้กันก่อนตัดสินใจดีกว่าว่าวิธีไหนจะได้ผลมากกว่า และสุดท้ายแล้วธุรกิจเราเหมาะสมกับวิธีใด
 


SEO คืออะไร?
 
     SEO หรือ Search Engine Optimization นั้นเป็นกระบวนการอย่างหนึ่งในการทำให้เว็บไซต์ของเรานั้นขึ้นไปปรากฏอยู่ในอันดับต้นๆ (ซึ่งโดยปกติจะไม่ให้ตกอันดับจากหน้าแรก) เวลาที่มีการค้นหาด้วย Keyword ที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์หรือธุรกิจของเรา ผ่านทางเว็บไซต์ Search Engine ต่างๆ อย่าง Google, Bing, Yahoo, MSN และอื่นๆ (ตัวอย่างเช่น เมื่อเรากดค้นหาด้วย keyword ว่า “เบอร์เกอร์” เว็บไซต์ที่จะปรากฏขึ้นในผลการค้นหาแรกๆ อาจจะเป็น McDonald, Burger King เป็นต้น) โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการทำแต่อย่างใด​​ ยกเว้นแต่ว่าหากเราไม่มีความรู้ในด้านนี้ก็คงต้องเสียค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างผู้มีประสบการณ์ในการทำ SEO เข้ามาช่วยเหลือแทน ซึ่งหากเว็บไซต์สามารถขึ้นไปติดอันดับต้นๆ ของ Search Engine ได้แล้ว ก็จะเป็นที่สนใจแก่ผู้ที่ Search ด้วย Keyword เข้ามาเจอมากขึ้น โดยอันดับนี้มีโอกาสลงก็ต่อเมื่อมีเว็บไซต์ที่ทำ SEO ได้ดีกว่าแซงหน้าขึ้นไป หรือ Search Engine มีการเปลี่ยน Algorithm (วิธีการคิดคำนวนและประมวลผลของคอมพิวเตอร์) ในการ Search จนต้องหาวิธีใหม่ๆ ตาม เพื่อให้เว็บไซต์กลับขึ้นไปอยู่ในอันดับต้นๆ ได้อีก


PPC คืออะไร?

     PPC หรือ Pay per click นั้นก็คือการซื้อพื้นที่โฆษณาของ Search Engine นั้นๆ เพื่อให้เว็บไซต์ของเรานั้นอยู่ในตำแหน่งที่เป็นจุดสนใจของผู้ที่ใช้งาน Search Engine ซึ่งตำแหน่งอาจจะอยู่ที่อันดับแรกสุด หรือในส่วนอื่นๆ ที่สะดุดตาก็ได้ เพื่อเพิ่มยอดของผู้ใช้ให้เข้ามาสู่เว็บไซต์ของเราเมื่อ Keyword ในการ Search ของพวกเขานั้นตรงกับเนื้อหาที่เรามีในเว็บ ซึ่งในรูปแบบของ PPC นี้ก็จะมีค่าใช้จ่ายก็ต่อเมื่อมีคนคลิกเข้าเว็บไซต์เราตามจำนวนครั้งเท่านั้น ถ้าหากไม่มีการคลิกเข้ามาในเว็บไซต์ก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด โดยอัตราค่าบริการนั้นก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการจำนวนการคลิกอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับตำแหน่งของเว็บไซต์บน Search Engine และ Keyword ในการค้นหาอีกด้วย โดยเฉพาะ Keyword ที่เป็นที่นิยม และมีอัตราการค้นหาที่สูงอย่างคำว่า Computer, Football นั้นก็จะมีราคาที่สูงกว่า Keyword ที่คนไม่ค่อยค้นหาเช่น Horseshoes เป็นต้น
 



 
     จากรูปภาพประกอบข้างต้นก็จะเห็นความแตกต่างในด้านของพื้นที่ที่มาจากการทำ SEO แล้วติดอันดับต้นๆ ด้วยตัวเอง กับแบบที่ซื้อโฆษณา PPC ที่แยกอย่างชัดเจนว่าเป็นพื้นที่โฆษณาของ Search Engine อย่าง Google ซึ่งพอถึงส่วนนี้ก็มักที่จะได้ยินคำถามที่ว่าถ้าหาก PPC นั้นเป็นวิธีที่ง่ายกว่าและยังมีพื้นที่ที่ผู้คนเห็นได้ชัดแม้ว่าเราจะเป็นเว็บไซต์ใหม่ที่มีโอกาสติดอันดับต้นๆ จากการทำ SEO ได้ยากก็ตาม แล้วทำไมเรายังคงต้องใช้ SEO กันอยู่อีกล่ะ? คำตอบที่ชัดเจนที่สุดเลยก็คือการทำ PPC นั้นมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงมากเมื่อเทียบกับการทำ SEO อีกทั้งยังมีระยะเวลากำหนดที่ค่อนข้างชัดเจน เพราะหากเมื่อใดที่เงินทุนในส่วนนี้หมดไป เว็บไซต์ของเราก็จะหายไปจากอันดับต้นๆ ในหน้าแรก ต่างกับ SEO ที่จะยังคงอยู่ในอีกระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้นลองมาดูกันว่าการจะเลือกใช้ทั้ง 2 วิธีนี้ต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง?


1. เงินทุน
 
     แน่นอนเลยว่าอันดับแรกเลยเราคงต้องคำนึงถึงเรื่องเงินทุนในการทำธุรกิจก่อน เพราะทั้ง SEO และ PPC นั้นมีค่าใช้จ่ายที่ต่างกันค่อนข้างชัดเจน ในส่วนของ SEO นั้นไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ส่วนของ PPC มีค่าใช้จ่ายที่ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้นหากธุรกิจอยู่ในช่วงที่กำลังเริ่มต้นแล้ว เราอาจทดลองใช้ PPC สักช่วงหนึ่งก่อนก็ได้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องกำหนดต้นทุนเอาไว้ด้วยว่าในแต่ละวันจะลงทุนกับ PPC ได้ไม่เกินเท่าไร เช่น อาจตั้งลิมิตช่วงเริ่มต้นเอาไว้ที่ไม่เกินวันละ 5$ - 10$ (150 – 300 บาท)/วัน เพื่อดูความคุ้มค่าและความเปลี่ยนแปลงของอัตราผู้คนที่เข้าเว็บมามีเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด
 
 
     เพราะสำหรับเว็บไซต์ใหม่ๆ นั้นยากที่จะทำให้ขึ้นไปติดอันดับต้นๆ แข่งกับเว็บที่อยู่มานานในระยะเวลาอันสั้นได้ การใช้ PPC เข้ามาช่วยก็ทำให้เว็บไซต์ของเรานั้นมีฐานผู้เข้าชมในช่วงเริ่มต้นได้ แต่ถ้าหากงบลงทุนน้อยและไม่อยากนำมาลงทุนในส่วนนี้ก็ควรศึกษาการทำ SEO ของแต่ละ Search Engine ให้ดีว่ามีรูปแบบอย่างไร เพื่อให้เว็บไซต์สามารถขึ้นไปติดอันดับต้นๆ โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพราะหากไม่สามารถทำด้วยตนเองได้สุดท้ายก็จะเสียค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้เชี่ยวชาญมาในราคาที่ใกล้เคียงกันกับ PPC


2. ระยะเวลา
 
     ระยะเวลาของการติดอันดับก็เป็นอีกส่วนที่เราควรต้องคำนึงถึง เพราะจริงอยู่ที่ PPC นั้นจะทำให้เว็บไซต์ของเราติดในอันดับต้นๆ โดยที่ไม่มีเงื่อนไขในเรื่อง Algorithm ของ Search Engine ที่เปลี่ยนแปลง แต่การที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในทุกๆ เดือนไปกับการซื้อโฆษณานั้นอาจไม่คุ้มค่าเสมอไปถ้าหากเราไม่ใช่เว็บไซต์ที่หากำไรได้มากมายนัก ต่างกับแบบ SEO ที่แม้ว่าจะใช้เวลาเริ่มต้นนาน แต่หากสำเร็จขึ้นมาแล้วเว็บไซต์ก็จะอยู่ติดอันดับต้นๆ ได้อยู่หลายปี ถ้าหาก Search Engine นั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรและไม่ค่อยมีคู่แข่งเยอะก็นับว่าอาจเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากกว่า
 
 
     ซึ่งทั้งนี้ก็อยากให้วิเคราะห์เว็บไซต์ของเราเองก่อนว่าจะหวังผลในระยะยาวหรือในระยะสั้น เพราะถ้าหากเว็บไซต์นั้นหวังผลตอบแทนในระยะสั้น อย่างเช่น ธุรกิจต้องการที่จะโปรโมทกิจกรรมหรือแคมเปญต่างๆ ในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นก็อาจจะเลือกใช้บริการ PPC สัก 1-2 เดือนเพื่อให้เกิดกระแสและเป็นที่สนใจของผู้คนที่เข้ามาเห็น แต่หากหวังในระยะยาวที่จะให้มีผู้คนเข้าเว็บไซต์เราอย่างสม่ำเสมออยู่ตลอดแล้วนั้น SEO อาจเป็นคำตอบที่ดีกว่าก็ได้


3. ความคุ้มค่า
 
     ด้วยความที่ PPC นั้นมีปัจจัยค่าใช้จ่ายที่หลากหลาย ทำให้ Keyword ในการค้นหานั้นก็เป็นตัวแปรอีกอย่างที่มีผลต่ออัตราค่าบริการเป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากเราเลือกใช้ Keyword ที่เป็นที่นิยมแล้วก็จะมีราคาสูงกว่ามากเลยทีเดียว อย่างเช่น ราคา Keyword คำว่า ‘Car insurance online’ นั้นเมื่อใช้เครื่องมือ Traffic Estimator (https://adwords.google.com/KeywordPlanner) ของ Google มาตรวจสอบดูก็จะพบว่าค่าเฉลี่ยของ CPC (Cost per click) หรือค่าใช้จ่ายต่อการคลิกก็จะพบว่ามีราคาอยู่ที่ 2.76$ แต่หากเปลี่ยน Keyword ไปเป็นคำว่า ‘Auto Insurance’ แล้วนั้น ราคาเฉลี่ยก็จะขึ้นไปสูงถึง 28.55$ เลยทีเดียว ซึ่งราคาที่สูงขนาดนี้อาจทำให้ผู้คนเข้ามาเว็บไซต์ของเราได้มากขึ้นก็จริง แต่ก็ต้องมานั่งคำนวณความคุ้มค่าต่อไปอีกว่าด้วยต้นทุนที่สูงขนาดนี้จะได้รับผลตอบแทนคุ้มค่ามาน้อยเพียงใด เพราะ SEO ก็ยังเป็นทางเลือกอีกทางที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายเลย



     จากเนื้อหาข้างต้นจะเห็นได้ว่าจริงๆ แล้ว ทั้ง SEO และ PPC ต่างก็เป็นเครื่องมือที่มีทั้งข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันออกไป คงตอบได้ยากว่าแบบไหนจะสร้างความคุ้มค่าได้มากกว่ากัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของธุรกิจที่จะเลือกนำไปใช้ว่าวิธีไหนจะให้ผลตอบแทนได้มากกว่า ซึ่งจริงๆ แล้วเราก็สามารถทดลองทำได้ทั้งสองอย่าง พร้อมทั้งตั้งเป้าหมาย และวัดค่าออกมาให้ชัดเจนเพื่อนำมาเปรียบเทียบดูว่าควรเลือกลงทุนกับวิธีไหน หรือจะลองทำควบคู่กันไปเลยก็ได้



ที่มา : http://incquity.com/articles/seo-or-pcc-better
admin : 25/06/2557


 
Back
   
ข่าวอื่นๆที่น่าสนใจ
  ทำไมต้องจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
  5 แนวทางสร้างกำไรโดยการลดต้นทุนอย่างยั่งยืน (โดยไม่ต้องลดคุณภาพ)
  4 เหตุผลทำไม Start-Up ถึงต้องทำ PR
  SEO หรือ PCC กลยุทธ์ไหนที่ตอบโจทย์ธุรกิจของคุณ!
  3 พื้นฐานที่คุณต้องรู้ในการทำ DIGITAL MARKETING ANALYTICS