Digital Agency
Call Us
02 612 9230-32, 080 064 8000
Member Login
Login
Forgot Password?  Register
 
Testimonial
" ออกมาเป็นที่พอใจมากคะได้สเป็คสีที่ระบุไว้เลยคะ แถมเจ้าหน้าที่ก็ใจดีคะ ทำให้ได้หมดทุกอย่างคะ บริการดีมาก กันเอง "
คุณเจ เจ้าของร้านเพชรทองเอราวัณเยาวราช
Digital Agency
1,988 View | 21 Jun 2013
 



ถ้างบโฆษณาเหลือ เอามาลงสื่อดิจิตอล เลือกสื่อแบบไหนดี

         อยู่ในสายงานโฆษณาออนไลน์ หรือ Digital Agency มานาน มักจะเจอคำภามตัวใหญ่ๆ อย่างหัวข้อของบทความ อย่างน้อยๆ ถ้ามีลูกค้าอยู่ในมือ 10 รายก็อย่างต่ำ 6 ราย ต้องถามคำถามนี้ ประมาณว่า ถ้ามีงบการตลาดหรืองบโฆษณาเหลือใช้จากการจัดทำแคมเปญ หรือ อีเวนต์ออฟไลน์ แล้วเจ้านายหรือผู้บริหารของคุณลูกค้าผู้น่ารัก ก็มักจะไปได้ไอเดียจากงานสัมมนามากมายเกี่ยวกับการตลาดดิจิตอล ( Digital Marketing ) หรือการทำโฆษณาออนไลน์ (Online Marketing) แล้วก็มักจะทิ้งโจทย์แบบกล้าๆกลัวๆ ไม่ค่อยมั่นใจ แต่ก็อยากจะสยิวกับการลองเล่นโฆษณาบนสื่อดิจิตอลเพื่อเลือกคนไปยังแดนสนทยาที่แห่งนี้หน้าเว็บไซต์ อย่าง Landing Page หรือ Hub Page,หน้าร้านค้า หรือเครือข่ายสังคมออนไลน์ อย่าง  Fan page บน Facebook แอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน หรือแม้กระทั้งเนื้อหาสั้นๆที่มีรูปสวยๆสักหน้าในนิตยาสาร
ที่หน้ากลัวก็คือ ผู้บริหารเหล่านั้นต้องการ ROI แบบที่มองเห็นชัดเจนเป็นตัวเลข เพราะเป็นโรคแพ้กราฟหรือแผนภูมิ และยังอยากจะติดตามความเคลื่อนไหวว่า โฆษณาออนไลน์ที่จะเล่นผ่านสื่อต่างๆ นั้นได้ผลดีแค่ไหน

ทุกอย่างบนโลกออนไลน์ ล้วนคือการโฆษณา
     ทุกอย่างที่ปรากฏบนโลกออนไลน์ล้วนเป็นสื่อโฆษณาแทบทั้งหมด ไม่เชื่อลองเข้าไปอ่าน Blog หรือเว็บไซต์ แบบเรื่อยเปื่อยในสิ่งที่ชอบ ความชอบของคนเราล้วนโยงใยไปยังสิ่งที่สนใจแทบทุกเรื่อง Blog เล็กๆน้อยๆ เกี่ยวกับร้านอาหารทางอ้อมหรือแบบตรงๆ แบบไม่ตั้งใจ Blong เรื่องการ์ตูน Manga จากต่างประเทศที่มีการโชว์วาด Fan Art  ก็ถือว่าเป็นการโฆษณาแบบหนึ่ง
แม้แต่ใน Pantip.com สังคมออนไลน์ที่มีคนเล่นมากมาย ยังมีการโพสต์กระทู้เกี่ยวกับสถานที่กิน ที่เที่ยว ให้หลายคนได้รับรู้ตามความชอบ ซ้ำยังเป็นการประชาสัมพันธ์ให้กับร้านเหล่านั้นให้คนวิ่งไปยังหน้าร้าน เว้นแม้แต่ โซเซียลมีเดีย หรือสื่อสังคม อย่าง Facebook,Twitter หรือ Google+ ที่รูปภาพทั้งหลายที่เราแชร์กันมากมายรอเพื่อนมากด Like หรือ กด ถูกใจ ลองวิเคราะห์ดีๆ ร้อยละ 70 ของภาพเหล่านั้น ล้วนมาจาก Fan Page  อาจจะมี Signature เล็กๆอยู่ที่มุมขวาของภาพ เป็นการโปรโมทธุรกิจไปอย่างเนียน
ทุกอย่างเป็นการโฆษณาแทบทั้งสิ้น
- Blog ที่เราสนใจ หรือ ค้นหาข้อมูลจาก Google แล้วพบว่า Blog เหล่านั้นจนเราติดตามอ่านมัน ก็คือกลยุทธการทำให้พบขั้นตอน Get Found ในศาสตร์การตลาด
-กระทู้รีวิวร้านอาหาร หรือภาพถ่ายตลกๆ บน Social Media ที่แชร์กัน ก็คือ Get Found เช่นกัน
- หน้า Landing Page ให้สมัครรับข่าวสาร หรือรับโปรโมชั่นไปทดลองใช้กัน นั้นคือการสร้าง Convent จากผู้เยี่ยมชม
-ฟอร์มที่ให้กรอกข้อมูลเก็บไว้ ล้วนมีการเก็บ E-mail หรือสร้าง Application บน Facebook แล้วใช้เทคนิคการเข้าถึงข้อมูลผ่าน Graph API  ก็จะได้ E-mail ของผู้ใช้มาเก็บไว้

ทุกอย่างนั้นคือการโฆษณาและธุรกิจทั้งหมด
       ประเด็นที่จะบอกต่อไปนั้นไม่ใช่ให้ลูกค้าไปนั่งเขียน Blog ใหม่ พร้อมกับทำ SEO ให้เครื่องมือการค้นหาอย่าง Google จับ Index ของเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก แต่จะให้เป็นการแนะนำการใช้พื้นที่ และองค์ประกอบเหล่านั้นมาวิเคราะห์จักแจง และใช้มันสนับสนุนการวางแผ่นโฆษณาของเรา


สิ่งที่คุณต้องรู้สำหรับสื่อดิจิตอล
     สื่อประเภทที่ 1 : Google Adwords
            เมื่องบเหลืออยากจะลองเล่นโฆษณาแบบไหนให้เกิดการคลิกโฆษณาแล้วซื้อสินค้า หรือสมัครบริการเลย   คงหนีไม่พ้น Google Adwords  หรือเจ้าโฆษณาสีเหลืองๆตำแหน่งบน และตำแหน่งขวาบนหน้าผลการค้นหาของ Google
    เหตุผล : เพราะว่า Google Adwords นั้นมีเครื่องมือในการทำงานร่วมกับ Keyword หรือคำสำคัญในการค้นหาโฆษณา ที่เราจะเล่นให้ไปปรากฏบน Google เวลาที่คนหาสิ่งที่ต้องการนั้น จะมีเครื่องมือในการวิเคราะห์ และประเมินราคาของ KeyWord คำนั้นออกมาเป็นราคาโดยประมาณ ซึ่งเราสามารถใช้เครื่องมือ Keyword Tool ในการค้นหา Keyword ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของเรา ระบบจะบอกค่าการค้นหาต่อเดือน ให้มาวิเศราะห์ต่อเดือนว่ามีคนค้นหาคำนี้มากน้อยเพียงใด
         ให้จำไว้  Adwords  คือ 30 เปอร์เซ็นต์ ที่คนจะคลิก และอีก 70 เปอร์เซ็นต์คือ Organic Search แม้ว่าจะน้อยกว่าก็ตาม แต่ 30 เปอร์เซ็นต์ ดังกล่าวก็คือการคลิก ที่มีการซื้อ – ขาย และเกิดการ Convert Lead ที่สูง เพราะมันตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากกว่า ส่วน 70 เปอรืเซ็นต์ นั้นคือพื้นที่สำหรับการตัดสินใจก่อนเลือกซื้อที่ทาง Google ที่เรียกว่า  Zero Moment  of Truth หรือ ZMOT นั่นเอง หากเรามีเวลามากพอที่จะทำ SEO ก็แนะนำให้ทำดู  แต่ถ้าหากว่าไปก็แนะนำให้ลองทำ Digital Asset Optimization
  
    ข้อเสนอแนะ : ลองสร้าง Landing Page ที่มีโปรโมชั่นที่น่าสนใจ รูปภาพที่โดดเด่น และ Call-to-Action อย่างปุ่มที่มองเห็นชัดเจนเชิญชวนให้คนที่สนใจสมัคร จำทำให้แคมเปญ Google Adwords ทำงานได้ประสิทธิภาพมากที่สุด

    ข้อระวัง : หาก KeyWord ที่เราเลือกให้มีการค้นหาต่อเดือน หรือ Search Volume ที่มากเกินไปก็อาจจะพบการแข่งขันที่สูง คู่แข่งจะเยอะ ซึ่งตำแหน่งบนสุดในแทบสีเหลืองนั้นจะขึ้นอยู่กับการ Bid(ประมูล) ราคาของ Keyword ให้อยู่ตำแหน่งบนสุด  ถ้าเรามีงบน้อย แต่อยากเล่นแคมเปญให้นาน และได้ประสิทธิภาพ อย่าบ้าจี้ไปสู้ราคา โดยการ Bid ราคาที่สูงขึ้น เพราะจะทำให้ Budget หมดเร็วโดยใช่เหตุ

    สื่อประเภทที่ 2 : Facebook Advertiding
                เครื่องข่ายสังคมออนไลน์สมัยนี้ก็คงหนีไม่พ้น Facebook ใครจะไปรู้ว่า พื้นที่ตรงนี้ แม้ช่วงหลังจะมีความเกรียน และดราม่าทะเลอะเบาะแวงกัน แต่ก็ยังเป็นพื้นที่สำหรับทำการตลาดได้ผลอีกด้วย โดยเฉพาะ Viral Marketing หรือการตลาดแบบไฟลามทุ่ง ส่วนการทำโฆษณาบน  Facebook นั้น เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลดี เทียบกับการวางบนสื่ออื่นๆ เพราะว่าโฆษณาของ Facebook  มีความฉลาดในตัวของมันเอง จากการใช้งาน Facebook ในทุกๆวัน ลองคิดดู ในทุกๆวัน เราเข้า Facebook ไปทำอะไรบ้าง
- หาเพื่อเก่า หาเพื่อนใหม่
- Check in สถานที่ไป
- แชร์รูปของกิน
- กดไลท์รูปต่างๆ
- เล่นเกมส์ออนไลน์
กดไลท์เพจ ที่สนใจ    

      เหตุผล : รู้หรือไมว่าพื้นฐานของ Facebook นั้นมีการเชื่มองโยงบัญชีของเรากับทุกสิ่งที่สนใจ อย่างภาพที่แชร์ ข้อความที่เราโพสต์ วีดีโอที่เราอัพ หรือกด Share ต่อจาก Page จะถูกเชื่อมโยงตามทฤษฎีที่เรียกว่า  Graph Theory หรือทฤษฎีกราฟในทางคณิตศาสตร์
ดังนั้นการวางแผนการโฆษณาบน Facebook สามารถกำหนดเป้าหมายได้ตรงกลุ่มได้มากกว่า พร้อมทั้งยังสามารถ Simulation ให้เราได้ว่า ต้องการคนที่จะเห็นโฆษณาของเรา เป็นแบบไหนชาย หรือ หญิง อยู่จังหวัดอะไร ทำงานที่ไหน อายุเท่าไหร่ หรือชอบอะไร  เป็นไม้เด็ดของ Facebook  เลยทีเดียว เพราะโฆษณา ที่ปรากฏนั้น มันจะยืดปฎิสัมพันธ์ความสนใจตามปริมาณ Interact  หรือ Like ตาม Fan Page ของนักเรียนชื่อดัง ซ้ำยังอัพโหลดภาพปกหนังสือบน Wall  บ่อยๆ ระบบของ Facebook  จะทำการกลั่นกรองกลุ่มเป้าหมาย แล้วเมื่อมีคนสนใจขายหนังสือ Facebook  โฆษณาจะโผล่เฉพาะคนที่ชอบอ่านหนังสือ

      ข้อเสนอแนะ : นอกจากสามารถจำลอง และวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคของเราได้แล้ว ว่าจะมีจำนวนเท่าไหร่ ยังสามารถเอาเครื่องมือการทำโฆษณา Facebook Advertising ตัวนี้เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการหา KPI ให้กับคุณลูกค้า ที่มีโจทย์อยากได้จำนวน Like บนหน้าจอ Fan Page แบบโอเวอร์ สามารถใช้เครื่องมือตัวนี้วิเคาะห์โดยอ้างองจากประเภทข้อมูลสินค้า และบริการจากลูกค้า เช่น อายุ สถานที่ เพศ หรือ อาชีพ  ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้ว เราจะได้ค่าสูงสุดออกมาเป็นจำนวนคนที่จะสามารถกด Like ได้เป็น KPI  จริงๆแล้วอาจจะไม่ถึงล้านก็ได้ แต่อย่างน้อยๆ นั่นคือค่า Maximun สูงสุดของ Like ที่จะได้
ข้อระวัง : อย่าเล่นโฆษณาบน Facebook เกิดได้สูง และอาจจะเสียเปล่าได้ อย่าน้อยๆ ถ้าไม่แน่ใจให้ลองใช้ Feature Promote Post ลองเชิง ไปก่อน หากต้องการ KPI เป็นจำนวน Like และข้อระวังอีกอย่างคือ โฆษณาด้านข้องของ Facebook มันจะแสดงโฆษณาเกี่ยวกับสิ่งที่เราชอบ  ดังนั้นถ้าเราไปกดไลน์พวก Page  18+ ก็อาจจะปรากฏขึ้น มันจะบ่งบอกพฤติกรรมของเราว่าเป็นคนยังไง
สื่อประเภทที่ 3 : Display Network และการ Re – Targeting
Display Network นั้นมีอยู่หลายบริการให้เลือกใช้ในไทย ก็ไม่พ้น Addoer,AdYim,BumQ ส่วนแบบที่รู้จักกันดีก็คือ Google Display Network,Komli(Admax),Media Mind,Innity และช่วงหลังๆก็มีให้เลือกใช้มากมาย ที่เจอล่าสุดก็ Adroll  ลูกค้าหลายคนที่ใช้ Display Network มันใช้ยาก และไม่มั่นใจว่าจะใช้งานได้จริงหรือเปล่า คำตอบก็คือ
- เว็บไซต์เครือข่ายที่จะโฆษณาของเรานั้นไปปากฎเนื้อหาเกี่ยวข้องหรือไม่
- ประเภทเว็บไซต์เหล่านั้นตรงตามประเด็นหรือเปล่า
- การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายตรงตามกลุ่ม

สำหรับตัวที่แนะนำให้ลองใช้(ในช่วงเริ่มต้น) ก่อนนั้นก็คงหนีไม่พ้น Google Display Network นั้นจะประกอบไปด้วยวิธีการต่อไปนี้
1.    Contextual Targeting : การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายด้วย Keywords Terms สามารถทำได้โดยการกำหนดเป้าหมายตาม Content บนเว็บไซต์,Blog,Hub Page วิธีการกำหนด Target แบบนี้ กำหนดได้กว้าง เหมาะกับการทำแคมเปญจำพวก Consumer Products เป็นต้น
2.    Placement : การค้นหา Target Audience หรือกลุ่มผู้บริโภค ของเราผ่านการเจาะลึกให้แคบลงระดับหนึ่ง จะเหมาะกับการทำแคมเปญโฆษณาประเภทที่ว่าเรานั้นรู้จักลูกค้าเราดีว่าอยู่ที่ไหน ซึ่งเราต้องรู้ว่าเรานั้นจะวางโฆษณาของเราในเว็บไซต์ไหนที่จะเหมาะกับสินค้าของเรา
3.    Topic Targeting : เป็นการวิเคราะห์ผ่านการดูที่ Partner เครือข่ายของ Display Network ว่าเป็นเว็บไซต์ดังกล่าวนั้นเป็นประเภทอะไรหัวข้ออะไร
4.    Interest Categories Targer : การเจาะกลุ่มเป้าหมายแบบพิเศษ มองที่ตัวผู้ใช้เป็นหลัก ใช้เทคโนโลยีของโปรแกรมเว็บบราวเซอร์เก็บค่า Cookies หรือประวัติข้อมูลการเข้าเว็บไซต์ของคนที่เข้าอินเตอร์เน็ตของแต่ละคนในแบบเบาร์เซอร์ไว้ แล้วทำการกรอกข้อมูลตามที่สน ถือเป็นการเจาะลึกข้อมูลของผู้บริโภคที่ดีอีกวิธีหนึ่ง

      เหตุผล : ในกรณีที่สินค้า และบริการของเรานั้นยังไม่มี Awareness หรือ กลุ่มผู้บริโภคที่ยังไม่รู้จักแบนด์ของเรา ถ้าหากว่าไปลงทุนกับ Google Adwords และ SEO อย่างเดียวอาจจะใช้เวลาที่นานและงบอาจจะบานปลายได้หากวิเคราะห์ผิดพลาด แต่ถ้าเราลองใช้ Display Network เช่น Google Display Network มาช่วยในการโฆษณาจะได้ผลดีสำหรับการสร้าง แบนด์ ให้สูงขึ้นมากกว่า 35 % ที่ผู้บริโภคจะมองเห็นโฆษณาแบนด์ของเรา อีกทั้งยังสามารถเพิ่ม Traffic หรือสถิติการเข้าชมหน้าเว็บไซต์ หรือ Landing Page ได้สูงถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ก็เพราะว่า Display Network ทั้งหลายนั้นสามารถเลือกที่จะไปโผล่ในเว็บไซต์ที่ลงทะเบียนเป็นเครือข่ายกับผู้ให้บริการ Display Network ตัวอย่างเช่น Community ชื่อดังทั้งหลายเว็บฯ หรือเว็บไซต์ข่าวที่มีคนอ่านเป็นหลักหมื่นต่อวันในประเทศไทยหลายๆเว็บฯ ลงทะเบียนให้กับผู้บริการ Display Network ซึ่งเป็นข้อดีกว่าการไปจ้างเอเยนซี่ หรือติดต่อซื้อ Media โฆษณาในราคาที่แพงเล่นไปเรื่อยๆตามกำหนด ลองคิดดูว่าถ้าลงโฆษณาไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย งบมหาศาล หรืองบที่เหลือใช้ที่เจียดมาเล่นก็จะหมดไปในระยะเวลาอันสั้นกับผลลัพธ์ที่เรียกว่า “เสียเปล่า”
    
      ข้อเสนอแนะ : หากลองใช้ Display Network ไม่ว่าจะตัวใดๆร่วมกับการเล่น Google Adwords หรือ Search Marketing ในระยะเวลาเดียวกันโดยแบ่งงบประมาณเป็น 2 ส่วน แล้วเล่นควบคู่กัน จะสามารถเพิ่มยอดขายให้กับสินค้า และบริการได้ 8 เปอร์เซ็นต์ โดยประมาณ (ขึ้นอยู่กับงบประมาณหรือ Budget ที่เหลือใช้)
  
        ข้อควรระวัง : หากมีหลายแคมเปญ จะเกิดความสับสนได้ง่ายถ้าตัวเลือก Targeting ของลูกค้าหลายเจ้าใกล้เคียงกัน วิธีการป้องกันความสับสนให้ใช้วิธีการแยกแคมเปญ

 Display Ads Network ยังมีรูปแบบที่ปรากฏบนแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน
    นำว่าถ้าหากต้องเอางบไปลงในการทำโฆษณาบนสมาร์ทโฟน อาจจะต้องมีการคำนวณ ROI ให้ดี เพราะในปัจจุบันตอนนี้นั้น ถ้าเล่นการโฆษณาแบบ CPC (Cost Per Click) อาจจะไม่คุ้มค่ากับพฤติกรรมเปลี่ยนผ่านของผู้บริโภคเท่าไหร่นัก อาจจะเปลี่ยนเป็น CPI ที่กำลังมาในต่างประเทศ หรือที่เรียกว่า Cost Per Install ที่จะจ่ายเงินเมื่อมีการติดตั้งครับ ไว้มีโอกาสจะกลับมาอธิบายเรื่องนี้
    โฆษณาบน Facebook และโฆษณาบน Google ( AdWords, Display Network) ต่างกันยังไง และอะไรดีกว่ากัน
    ถ้าคำถามนี้เกิดขึ้นมา และยิงมาที่คุณตรงๆให้จำไว้ว่าเป้าหมายของโฆษณาทั้ง 2 ตัวนี้มันต่างกัน อย่างน้อยๆถ้าคุณจะทำโฆษณาบน Facebook หรือ Display Network  นั่นคือคุณต้องมีกลุ่มเป้าหมายในมืออยู่แล้ว ต่อจากนั้นก็จะทำการเล่นโฆษณาแบบเนียนๆ ปล่อยขึ้นนไปสร้างการรับรู้ผ่าน Content ที่เกี่ยวเนื่องกับโฆษณาของเรา ประกอบกับความสนใจของผู้บริโภค หากว่าผมสนใจในเรื่องกีฬา เมื่อเล่น Facebook จะพบโฆษณาที่เกี่ยวกับกีฬาปรากฎขึ้นหากว่าผมสนใจก็จะเข้าไปดูรายละเอียด เข้าไปคลิกดูแล้วค่อยทำ Remarketing อีกทีก็ค่อยว่ากัน
    ตรงข้ามกับ Google AdWords นั้นคือการที่เราเล่นโฆษณาที่ขึ้นตรงกับ ความคาดหวังหรือ Context ของผู้บริโภคในความต้องการบางสิ่งในขณะนั้น ก็จะพบกับโฆษณาทีตรงความต้องการถูกที่ถูกเวลาปรากฏขึ้นมาทันที
    สรุป ความแตกต่างระหว่างโฆษณา 2 ตัวอาจจะต้องยืมประโยคของคุณ สุธีพันธ์ สักรวัตร ที่ผมได้พูดคุยเรื่องนี้ในงาน Digital Marketing Summit 2013 ที่ผ่านมาว่า
    การโฆษณาบน Facebook นั้นเป็นการโฆษณาแบบ Passive สร้าง Awareness กระตุ้นความสนใจ ส่วน Google AdWords นั้นเป็นการทำโฆษณาแบบ Active แบบรุกฆาตตรงๆเพื่อเพิ่มยอดขายและ Convert Lead นั่นเองครับ
    ทีนี้ก็คงจะพอเข้าใจแล้วใช่ไหมครับว่า ถ้าหากเรามีงบเหลือ หนรือแคมเปญของเรานั้นมีการแบ่ง 10 เปอร์เซนต์ การตลาดมาลองเล่นโฆษณาบนดิจิตอลดู งบประมาณน้อยนิดอาจจะสร้างยอดขายได้มาก และให้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจกับผู้บริการของคุณได้อย่างแน่นอน เพียงแค่ต้องรู้จักมันก่อนว่า เนื้อแท้ของโฆษณาแต่ละตัวนั้นมันเหมาะ และใช้มันยังไงให้ได้ประสิทธิภาพ     







YIM_Admin 
Back
   
ข่าวอื่นๆที่น่าสนใจ
  ทำไมต้องจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
  5 แนวทางสร้างกำไรโดยการลดต้นทุนอย่างยั่งยืน (โดยไม่ต้องลดคุณภาพ)
  4 เหตุผลทำไม Start-Up ถึงต้องทำ PR
  SEO หรือ PCC กลยุทธ์ไหนที่ตอบโจทย์ธุรกิจของคุณ!
  3 พื้นฐานที่คุณต้องรู้ในการทำ DIGITAL MARKETING ANALYTICS