6 เทรนด์การตลาดออนไลน์ในปี 2014
Call Us
02 612 9230-32, 080 064 8000
Member Login
Login
Forgot Password?  Register
 
Testimonial
" ออกมาเป็นที่พอใจมากคะได้สเป็คสีที่ระบุไว้เลยคะ แถมเจ้าหน้าที่ก็ใจดีคะ ทำให้ได้หมดทุกอย่างคะ บริการดีมาก กันเอง "
คุณเจ เจ้าของร้านเพชรทองเอราวัณเยาวราช
6 เทรนด์การตลาดออนไลน์ในปี 2014
1,986 View | 21 Apr 2014





 
      การพัฒนาของระบบอินเตอร์เน็ตทั้งในด้านความแพร่หลาย และการเข้าถึงได้ง่ายนั้น ถือเป็นปัจจัยอย่างหนึ่งที่สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงให้กับวงการ ธุรกิจและการตลาดแบบไม่เลี่ยงไม่ได้เลย ยิ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้จะเห็นได้ว่าการตลาดออนไลน์มีการเดินหน้าพัฒนา ไปมาก มีเทคนิคใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายจนบางครั้งก็ตามไม่ทันเสียด้วยซ้ำ ทำให้เป็นหน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทำการตลาดในองค์กรที่จะต้องหมั่น คอยตามเทคโนโลยีเหล่านี้ เพื่อนำมาปรับใช้กับองค์กรให้เกิดประโยชน์อยู่เสมอ ซึ่งทั้ง 6 ข้อนี้คือแนวโน้มของการตลาดออนไลน์ที่เป็นไปได้ในปี 2014 (หรือบางข้อก็เกิดขึ้นไปแล้วปัจจุบัน) ที่ทาง Incquity อยากนำเสนอให้กับผู้อ่านได้เตรียมตัวกันให้พร้อมในปีหน้า

1. Content Marketing จะมีการแข่งขันกันยิ่งกว่าที่เคย

      Content Marketing หรือก็คือ การแบ่งปันเนื้อหาและเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและองค์กรไปสู่ผู้คน ทั่วไป โดยอาศัยสื่อที่ต่างกันออกไปอย่างเช่น Website, Facebook, Twitter, Pinterest และอื่นๆ ผ่านทางรูปแบบของสื่ออย่าง รูปภาพ, วีดีโอ, Infographic หรือรูปแบบอื่นๆ ที่น่าสนใจ ซึ่ง Content Marketing นี้ถือเป็นหนทางหลักๆ ที่หลายองค์กรต่างเลือกใช้เพื่อทำให้ผู้คนรู้จักและจดจำแบรนด์ของเราไปในทาง ที่เราต้องการ อีกทั้งยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าเก่าให้คงอยู่กับเราต่อไปอีก ด้วย ซึ่ง Content Marketing นี่ล่ะที่จะเป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขันแย่งชิงลูกค้าของในแต่ละผลิตภัณฑ์ใน อนาคต เพราะแค่ในปัจจุบันเราก็จะเริ่มเห็นได้ว่าสินค้าและบริการที่เรารู้จักอยู่ เกือบทุกแบรนด์นั้นก็เริ่มมีช่องทางในการเผยแพร่แบรนด์ของตัวเองกันแทบทุก ทางแล้ว ดังนั้นก้าวต่อไปของแบรนด์ที่มีช่องทางก็จะต้องเป็นการแข่งกันที่ Content ที่จะใช้ดึงดูดลูกค้ากันว่าของใครที่จะทำได้น่าสนใจกว่ากัน

      หนึ่งในวิธีที่ทำให้ Content Marketing นั้นประสบความสำเร็จก็คือ การสร้าง Content ที่น่าสนใจ มีคุณค่า และให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมได้ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว Content เหล่านี้จะพยายามพูดถึงตัวสินค้าและบริการแค่ในทางอ้อมเสียมากกว่า ที่จะมุ่งเน้นยัดเยียดความพยายามในการขายสินค้า จะยิ่งเป็นการทำให้ลูกค้ารู้สึกรำคาญมากกว่าที่จะรู้สึกสนใจในสินค้าของเรา และนอกจากการสร้าง Content ที่ดีแล้วการดึงลูกค้าให้เข้ามามีส่วนร่วมแสดงความเห็นใน Content นั้นก็จะยิ่งช่วยให้เรียกความสนใจจากลูกค้าได้มาขึ้นอย่างเห็นได้ชัดอีกด้วย

2. Content จะต้องรองรับกับอุปกรณ์เคลื่อนที่

      จากผลสำรวจยอดการใช้ของสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตที่มีเพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้หลายๆ องค์กรเริ่มคิดที่จะทำให้ content ของตัวเองนั้นสามารถใช้บนอุปกรณ์เหล่านี้ได้อย่างเหมาะสม เนื่องจากโดยปกติแล้วเว็บไซต์ต่างๆ ที่เคยสวยงามบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ใหญ่ก็อาจไม่ลงตัวสำหรับอุปกรณ์ของเล็ก อย่างสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตสักเท่าไร จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องมีการพัฒนาสิ่งเหล่านี้ให้ลูกค้าได้รับความพึง พอใจ และได้ประสบการณ์ที่ดีจนอยากกลับมาใช้บริการต่อไปอีกในอนาคต

3. Social Media ใหม่ๆ

      ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้หลายคนอาจเคยเล่น Social Media ที่มีชื่อว่า Hi5 และ Myspace ก่อนที่จะขยับกันขึ้นมาเป็น Facebook, Twitter แล้วค่อยแตกแขนงไปตาม Social Media ใหม่ๆ ที่มีความน่าสนใจเฉพาะตัวอย่าง Instragram, Pinterest และอื่นๆ จากสิ่งเหล่านี้ทำให้เราเห็นได้ว่าโลกของ Social Media มีการพัฒนาอยู่ตลอดจนเห็นแอพลิเคชั่นใหม่ๆ อยู่ตลอด และที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือแอพลิเคชั่นเหล่านี้มีแนวโน้มของจำนวนผู้ใช้ เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ

      นับว่าเป็นเรื่องดีที่ธุรกิจจะมีช่องทางที่จะส่ง Content ไปถึงลูกค้าได้ง่ายและแพร่หลายขึ้น แต่ปัญหาก็คือเราจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่เราสนใจนั้นใช้ เครื่องมือชิ้นไหนกันบ้าง? เพราะด้วยแอพลิเคชั่นที่หลากหลายขนาดนี้ทำให้ยากที่จะให้ผู้ที่ดูแลเข้าไป ดูแลแอพลิเคชั่นทั้งหมดได้อย่างทั่วถึงในแต่ละวัน ดังนั้นเราคงต้องมาทำการวิจัยตลาดกันหน่อยแล้วล่ะว่าลูกค้าเราอยู่ในแอพลิเค ชั่นไหนเป็นส่วนใหญ่ โดยเริ่มวิเคราะห์จากแบรนด์ตัวเองก่อนเลยว่าแบรนด์เราเหมาะสมกับเครื่องมือ ชิ้นไหนบ้าง อย่างเช่น ถ้าเป็นสินค้าแฟชั่น หรือผลิตภัณฑ์ขายไอเดียต่างๆ แน่นอนว่า Pinterest และ Instragram นั้นถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในการลงรูปสินค้าสวยๆ งามๆ ให้ลูกค้าได้รับชมกัน เป็นต้น ดังนั้นการหมั่นคอยตามเทคโนโลยี และแอพลิเคชั่นใหม่ๆ อยู่เสมอจึงถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้เราได้เจอกับเครื่องมือใหม่ๆ ที่น่าสนใจและสามารถนำมาปรับใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอีกด้วย


4. คัดเฉพาะข้อมูลที่มีคุณภาพ

      นักการตลาดออนไลน์หลายคนมักเลือกที่จะใช้ content ในปริมาณมากเพื่อหวังที่จะดึงดูดความสนใจให้แก้ผู้ที่ผมเห็น ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วแบรนด์ชั้นนำส่วนมากอย่าง Apple หรือ Google บน Pinterest มักที่จะเน้นความเรียบง่ายๆ ใช้เนื้อหาน้อย แต่คุณภาพเพียงพอที่จะดึงความสนใจของคนได้ เพราะแบรนด์เหล่านี้เห็นว่าความพยายามที่จะส่งข้อมูลข่าวสารไปให้ผู้คนมาก เกินไปนั้นจะทำให้พวกเขารู้สึกรำคาญและเลือกที่จะบล็อคข้อมูลเหล่านั้นไปโดย อัตโนมัติ ทำให้แนวโน้มของการทำการตลาดออนไลน์ในอนาคตจะเน้นไปที่คุณภาพของ content และการเชื่อมโยงกับลูกค้าให้ดีว่า ลูกค้าแต่ละกลุ่มนั้นสนใจข้อมูลประเภทใด และข้อมูลประเภทในบ้างที่จะเป็นการรบกวนพวกเขาโดยไม่จำเป็น

5. อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ Text

      ทุกวันนี้ในขณะที่ชีวิตของผู้คนในสังคมมีความเร่งรีบอยู่ตลอดเวลา ข่าวสารและข้อมูลที่ย่อยง่ายย่อมเกิดความได้เปรียบ และทำให้ผู้คนสนใจได้มากกว่า ซึ่งดูได้จากตัวอย่างรูปแบบการนำเสนอบน Facebook ในช่วงที่ผ่านมาการใช้รูปภาพ วีดีโอ หรือ Infographics นั้นเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากสำหรับผู้ที่พบเห็นเพราะคนเหล่านี้รู้สึกว่าใช้ เวลาไม่นานในการทำความเข้าใจ ส่งผลให้ Social Media ที่เกิดใหม่อย่าง Buzzfeed, Pinterest หรือ Instragram ที่เป็นแอพลิเคชั่นนี่เน้นการแชร์รูปภาพเป็นหลักจึงได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง

      หรือถ้าช่องทางที่เผยแพร่สินค้าและบริการอยู่ในรูปแบบของ Website หรือ Blog ที่จำเป็นต้องใช้ตัวอักษรในการนำเสนอเป็นหลักนั้นก็ควรที่จะแทรกรูปภาพขั้น ระหว่าง Content เพื่อให้เป็นจุดพักสายตาอยู่ตลอด หรืออีกวิธีหนึ่งถ้าหากเรามีความสามารถและจินตนาการมากหน่อยก็ควรที่จะจัด เรียงข้อมูลเนื้อหาเหล่านั้นให้ออกมาอยู่ในรูปแบบของ Infographics เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายโดยใช้เวลาไม่นานด้วย

6. Ad retargeting ที่เข้มข้นขึ้น

      Ad Retargeting อาจไม่ใช่วิธีใหม่ในการทำการตลาด หากใครนึกไม่ออกว่าคืออะไรนั้น ให้ลองนึกถึงการที่เราเข้าไปตามเว็บไซส์ต่างๆ แล้วเจอแบรนด์โฆษณาเดิมๆ ในเรื่องที่เราสนใจอยู่ตลอดนั่นเอง โดยเครื่องมือการตลาดชิ้นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อติดตามการเข้าเว็บไซต์ของเรา เพื่อดูรูปแบบของสินค้า และการบริการที่เราสนใจ ก่อนที่จะเก็บข้อมูลเหล่านี้เอาไว้ เพื่อนำไปประมวลผลในการเลือกโชว์โฆษณาต่างๆ ตามเว็บให้ตรงกับความสนใจของผู้ใช้ ซึ่งแทนที่ธุรกิจต่างๆ จะเลือกแค่บางเว็บไซต์เพื่อโฆษณาตัวเอง ก็เริ่มหันมาใช้เครื่องมือชิ้นนี้เพื่อตามไปโฆษณาให้ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตได้ พบเห็นกับแบรนด์ของเราจนคุ้นชินอยู่ตลอดในหลายๆ เว็บไซต์แล้ว ซึ่งหากสนใจจะใช้บริการก็ลองติดต่อไปได้ตามเว็บไซต์ชั้นนำอย่าง Youtube, Facebook และอื่นๆ อีกมากมายที่เปิดให้บริการ

 


      แนวโน้มเหล่านี้อาจเป็นเพียงแค่การคาดการณ์ถึงสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้ในวงการ ในอนาคต แต่เชื่อเถอะว่าข้อมูลเหล่านี้มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเกิดขึ้น เพราะหากสังเกตให้ดีจะเห็นได้ว่าทั้ง 6 ข้อนี้ในปัจจุบันก็มีหลายๆ องค์กรที่เริ่มปรับเปลี่ยนแนวทางตามหัวข้อที่ว่านี้กันไปบ้างแล้ว และยังดูท่าจะไปสวยอีกด้วย หากเรายังพอมีเวลาอยู่บ้างก็อยากจะแนะนำให้ลองศึกษาเรื่องราวเหล่านี้เพิ่ม เติมก่อนนำไปปรับใช้ให้เข้ากับองค์กร เพราะองค์กรที่เริ่มต้นนำเทรนด์ไปก่อน น่าจะได้เห็นโอกาสที่มากกว่าองค์กรที่เดินตามเทรนด์คนอื่นๆ อย่างแน่นอน



ที่มา : http://incquity.com/articles/6-online-trends-2014
admin : 21/04/2557


 
Back
   
ข่าวอื่นๆที่น่าสนใจ
  ทำไมต้องจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
  5 แนวทางสร้างกำไรโดยการลดต้นทุนอย่างยั่งยืน (โดยไม่ต้องลดคุณภาพ)
  4 เหตุผลทำไม Start-Up ถึงต้องทำ PR
  SEO หรือ PCC กลยุทธ์ไหนที่ตอบโจทย์ธุรกิจของคุณ!
  3 พื้นฐานที่คุณต้องรู้ในการทำ DIGITAL MARKETING ANALYTICS